โปรแกรมฉีดไขมัน กับ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ สองหัตถการที่ใช้เสริมความงามและปรับรูปหน้า สองวิธีนี้สามารถช่วยเพิ่มมิติให้กับใบหน้า ลดริ้วรอย และเติมเต็มบริเวณที่บุ๋มลงได้ ด้วยคุณสมบัติพิเศษของวัสดุที่ฉีด แต่การฉีดไขมันกับฉีดฟิลเลอร์ มีความแตกต่างกันทั้งในแง่วัสดุที่ใช้ กระบวนการ ผลลัพธ์ รวมถึงข้อดีข้อเสีย และความเสี่ยงค่ะ
ก่อนตัดสินใจเลือกหัตถการไหน สำคัญคือต้องศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ เพื่อเลือกสิ่งที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับตนเอง
บทความนี้ Amarante Clinic ขอมาแจกแจงความต่างในหลายแง่มุม ระหว่าง การฉีดไขมัน กับ การฉีดฟิลเลอร์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด หากต้องเลือกเข้ารับบริการเหล่านี้
สารบัญ ฉีดไขมัน VS ฉีดฟิลเลอร์
การฉีดไขมัน กับ การฉีดฟิลเลอร์ คืออะไร
ฉีดไขมัน คืออะไร เอาไขมันจากไหนมา
การฉีดไขมัน (Fat Grafting) คือการนำเซลล์ไขมันจากส่วนหนึ่งในร่างกายของผู้รับการรักษา มาฉีดเข้าสู่ใบหน้าหรือบริเวณที่ต้องการเติมเต็ม โดยเซลล์ไขมันที่นำมาฉีดนั้น มักได้จากการดูดไขมันส่วนเกินบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ต้นขา หรือสะโพก
จากนั้นนำเซลล์ไขมันที่ดูดไปผ่านกระบวนการคัดกรอง และทำความสะอาด แล้วถึงนำไปฉีดในบริเวณที่ต้องการปรับแต่ง
เซลล์ไขมันที่ปลูกถ่าย จะอยู่ได้จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ เพราะเป็นเซลล์เดียวกับที่มีในร่างกายผู้รับการรักษาอยู่แล้ว สามารถคงผลลัพธ์จากการรักษาได้ระยะยาว
ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร
ฟิลเลอร์ (Filler) เป็นสารเติมเต็มที่องค์ประกอบหลักคือไฮยาลูโรนิค แอซิด (HA – Hyaluronic acid) ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในร่างกายของเรา ทำหน้าที่ดูดซับน้ำเอาไว้บนชั้นผิวหนัง ช่วยให้ผิวกระชับ เต่งตึง และชุ่มชื้น
เมื่อนำไฮยาลูโรนิค แอซิด มาทำเป็นฟิลเลอร์ จะผ่านกระบวนการเชื่อมขวาง (cross link) เพื่อให้มีคุณสมบัติที่หนืดขึ้น มีความคงตัว และกักเก็บน้ำบนชั้นผิวได้ดีกว่าไฮยาลูโรนิค แอซิดตามธรรมชาติในผิวหนังเรา
สามารถอยู่ในบริเวณที่ฉีดได้นานเป็นเดือนหรือเป็นปี ส่งผลให้ริ้วรอย ร่องลึก รอยบุ๋มตื้นขึ้น และช่วยเสริมโครงหน้าให้เกิดมิติ ทั้งยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ดูเนียนเต่งตึง
ตามที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่า ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์ มีเป้าหมายในการใช้ที่ใกล้เคียงกัน คือเพื่อเติมเต็มหรือปรับมิติให้ใบหน้า แต่ลักษณะเฉพาะและคุณสมบัติของวัสดุที่นำมาใช้นั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อ่านเพิ่มเติม : ฟิลเลอร์คืออะไร ช่วยอะไร ฉีดตรงไหนได้บ้าง [พร้อมรีวิว]
ข้อดีข้อเสียของ การฉีดไขมันกับฉีดฟิลเลอร์
การฉีดไขมัน
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
1. เติมเต็มได้ปริมาณมาก เหมาะสำหรับการเสริมที่ต้องการเพิ่มหลาย ๆ จุดพร้อมกัน หรือในบริเวณที่ขนาดกว้าง 2. ใช้ไขมันจากตัวเราเอง ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน หรือผลข้างเคียงจากวัสดุแปลกปลอมในร่างกาย 3. ผลลัพธ์คงทนนานกว่า เพราะไขมันจะติดเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อ ไม่เสื่อมสลาย 4. ไขมันที่ฉีดมีสเต็มเซลล์ ซึ่งช่วยบำรุง ซ่อมแซมผิว ทำให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย 5. ผลพลอยได้คือการกำจัดไขมันส่วนเกินจากส่วนที่ดูดมา | 1. เจ็บตัวและช้ำง่าย เพราะต้องผ่านขั้นตอนดูดไขมันออก ก่อนนำไปฉีด ทั้งต้องใช้ปริมาณไขมันมากและฉีดลึก 2. พักฟื้นนานกว่า เพราะเป็นการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อเข้าไปใหม่ ต้องให้ร่างกายปรับตัว ผิวอาจบวมนานหลายสัปดาห์ 3. ไม่สามารถฉีดสลายหรือย้อนกลับได้ หากไม่พอใจในผลลัพธ์ 4. ผลลัพธ์ไม่เท่ากันทั้งใบหน้า เพราะไขมันอาจสลายตัวไม่เท่ากันในแต่ละจุด 5. เสี่ยงไขมันจับตัวเป็นคลื่น ไม่เรียบเนียน หากผู้ฉีดไม่ชำนาญ |
การฉีดฟิลเลอร์
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
1. ไม่เจ็บ ไม่ช้ำ และไม่ต้องพักฟื้น เห็นผลทันที หลังฉีดทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ 2. ปรับแต่งมิติใบหน้าและเติมเต็มปัญหาเฉพาะจุดได้ดีกว่า เพราะฟิลเลอร์ปั้นแต่งทรงได้ 3. ให้ผลเป็นธรรมชาติกว่าการเติมเต็มด้วยวิธีอื่น ๆ เพราะกลมกลืนกับเนื้อเยื่อ 4. ไม่พอใจผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ ออกแก้ไขได้ | 1. ต้องเติมซ้ำเป็นประจำ เพราะจะสลายตัวไปเอง อาจได้ฉีดบ่อยและเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า 2. เป็นสารสังเคราะห์ที่สร้างจากวัสดุภายนอกร่างกาย อาจเสี่ยงในการแพ้หรือเกิดผลข้างเคียง 3. โอกาสเกิดฟิลเลอร์ไหล จากการไปอุดตันเส้นเลือดฝอยบริเวณรอบข้าง หรือไหลไปรวมกันกองเป็นก้อน 4. กรณีใช้ฟิลเลอร์ปลอม หรือคุณภาพต่ำ จะเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ |
ความต่างด้านวัสดุและกระบวนการ ฉีดไขมันกับฉีดฟิลเลอร์
ตัวยาที่ใช้ก่อน-หลัง ฉีดไขมันกับฉีดฟิลเลอร์
ฉีดไขมัน | ฉีดฟิลเลอร์ |
---|---|
• ก่อนฉีด ต้องใช้ยาชา ยาสลบ และยาแก้ปวด ในขั้นตอนดูดไขมัน และนำมากรอง จึงมีความเสี่ยงแพ้ยามากกว่า • หลังฉีด ต้องใช้ยาแก้ปวด หรือยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการอักเสบติดเชื้อ | • ก่อนฉีด ใช้เพียงยาชาเฉพาะที่ หรือการประคบเย็น ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชาหรือยาระงับความรู้สึก • หลังฉีด ไม่ต้องใช้ยาอะไร เพราะไม่มีบาดแผลหรือรอยฉีกขาด เป็นเพียงรูเข็มเล็ก ๆ เท่านั้น |
ระดับความแข็งของไขมันและฟิลเลอร์
ไขมัน เป็นเนื้อเยื่อที่ลักษณะอ่อนนุ่ม และมีความแข็งในระดับเดียว ไม่สามารถปรับเปลี่ยนความแข็งได้ตามการใช้งาน แต่ขนาดของเซลล์ไขมันอาจแตกต่างกัน ซึ่งเซลล์ที่ผ่านการกรองให้มีขนาดเล็กสุด จะเหมาะกับการฉีดในส่วนที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น ร่องแก้ม หรือร่องใต้ตา
ฟิลเลอร์ (Filler) จะมีความแข็งที่หลากหลายกว่า ตั้งแต่เนื้อเหลวไปถึงระดับที่ค่อนข้างแข็ง ซึ่งสัมพันธ์กับความเข้มข้นของกรดไฮยาลูโรนิค เพราะฟิลเลอร์ที่มีกรดไฮยาลูโรนิคเข้มข้นมาก จะยิ่งให้เนื้อสัมผัสที่แน่น เกาะตัวเป็นก้อนได้ดี เหมาะสำหรับฉีดปรับมิติบนใบหน้า ส่วนฟิลเลอร์เนื้อเบาบาง จะเหมาะกับการเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ และการฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
ผลลัพธ์ความคงตัวและการสลายตัว ฉีดไขมันกับฉีดฟิลเลอร์
การสลายตัวของไขมันที่ฉีด
หลังฉีดไขมัน บางส่วนของเซลล์จะสลายตัวไปตามธรรมชาติ โดยเฉพาะช่วงแรกภายใน 1 เดือน เพราะยังไม่มีหลอดเลือดเข้ามาหล่อเลี้ยง ทำให้เซลล์ไขมันบางส่วนตาย จากนั้นส่วนที่เหลือจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อในบริเวณนั้น ๆ อย่างถาวร ให้ผลที่คงทนยาวนาน
การที่ไขมันสลายตัวไปส่วนหนึ่ง แพทย์จึงต้องฉีดให้มากกว่าที่ต้องการจริง เพื่อชดเชยกับส่วนที่ยุบหายไป และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่หวัง แต่ด้วยเทคนิคการฉีดกับกระบวนการที่ต่างกันของแต่ละสถานพยาบาล เลยทำให้ผลลัพธ์หลังยุบบวมอาจแตกต่างกันได้บ้างค่ะ
การสลายตัวของฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ที่ใช้กันปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นชนิดที่สลายตัวได้เอง เพราะผลิตมาให้เข้ากันได้กับร่างกาย โดยเมื่อคงอยู่ที่ชั้นผิวได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็จะค่อย ๆ สลายตัว และถูกขับออกจากร่างกายไปในที่สุด
ระยะเวลาที่ฟิลเลอร์คงอยู่ได้ จะแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อและรุ่น โดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง 6-18 เดือน หรือนานได้ถึง 1-2 ปี ในบางชนิดที่มีการเชื่อมขวางโมเลกุลแน่นหนา
แต่ผลลัพธ์ที่ได้ จะค่อย ๆ ลดลงไปตามระยะเวลา เนื่องจากความหนาและความหนืดของฟิลเลอร์ค่อย ๆ น้อยลงจากการสลายตัวไป จนกระทั่งร่องลึกหรือรอยบุ๋มนั้น ๆ กลับมาเป็นดังเดิม
ระยะเวลาที่ผลลัพธ์คงอยู่ ฉีดไขมันกับฉีดฟิลเลอร์
ผลลัพธ์แบบไหนอยู่ได้นานกว่ากัน
เปรียบเทียบกันแล้ว การฉีดไขมันให้ผลที่คงทนถาวรกว่าฉีดฟิลเลอร์มาก เพราะไขมันที่ฉีดไปสามารถอยู่ต่อและอยู่กับเราไปตลอด ทำให้ผลลัพธ์คงทนได้หลายปี บางคนอาจนาน 5-10 ปี จนกว่าร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัย อย่างความอ้วนผอม และไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ
ขณะที่ฟิลเลอร์ ให้ผลอยู่ได้ระยะสั้นกว่ามาก เฉลี่ย 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นและเนื้อสัมผัสของฟิลเลอร์แต่ละชนิด ซึ่งน้อยกว่าฉีดไขมันมากทีเดียว
ฉีดไขมันกับฉีดฟิลเลอร์ อะไรปลอดภัยกว่ากัน
อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดไขมัน
แม้จะใช้ไขมันจากร่างกายตัวเอง แต่การฉีดไขมันก็มีความเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เพราะต้องฉีดลึกลงไปในชั้นผิว และใช้ปริมาณมากกว่าฉีดฟิลเลอร์ ทำให้มีโอกาสเกิดการอุดตันของเส้นเลือดฝอยได้ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาเนื้อตายในเวลาต่อมา
กรณีไขมันที่นำมากรองนั้นไม่สะอาดหรือปนเปื้อน ก็เสี่ยงเกิดการติดเชื้อ อักเสบรุนแรง และอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อใบหน้ากับสุขภาพโดยรวม ยิ่งหากฉีดบริเวณรอบดวงตา ก็เสี่ยงต่อการตาบอดหรือเนื้อตายรอบดวงตาได้
ผลข้างเคียงจากการใช้ฟิลเลอร์ปลอม
ความเสี่ยงสำคัญของการฉีดฟิลเลอร์ ส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์เถื่อน ที่ไม่ได้คุณภาพและมาตรฐาน ซึ่งฟิลเลอร์เหล่านี้จะผลิตจากสารที่ระคายเคือง ก่อให้เกิดการอักเสบของผิวหนังอย่างรุนแรง นำไปสู่การติดเชื้อและอาจเกิดเนื้อตายตามมาได้
นอกจากนี้ ยังมีรายงานพบการฉีดสารแปลกปลอมอันตราย ที่พบซิลิโคนหรือสารประกอบอื่น ๆ ปนเปื้อนมาในฟิลเลอร์ปลอมเหล่านี้ด้วย นับเป็นอันตรายมากหากเข้าไปอยู่ในร่างกาย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเลือกใช้ฟิลเลอร์แท้ ที่มีคุณภาพและได้รับการรับรองเท่านั้น เพื่อความปลอดภัย
ข้อแนะนำในการเลือกระหว่าง ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์
บริเวณที่เหมาะสมในการฉีด
เพราะไขมันและฟิลเลอร์มีคุณสมบัติต่างกัน ทำให้เหมาะกับการฉีดในบริเวณต่าง ๆ แตกต่างกันไปด้วย
โดยฟิลเลอร์เหมาะกับการฉีดบริเวณที่ต้องการความประณีต และการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด เพราะสามารถปรับเปลี่ยนความแข็งและปั้นทรงได้ ตำแหน่งฉีดที่นิยม เช่น ร่องแก้ม ร่องใต้ตา เติมจมูก ปาก เหนือริมฝีปาก หรือคาง
ขณะที่การฉีดไขมันจะเหมาะสำหรับบริเวณที่ต้องการปริมาณมาก ต้องการเพิ่มเนื้อ และต้องการความคงทนถาวรยาวนาน บริเวณที่นิยมฉีด เช่น ขมับ แก้มบน แก้มล่างที่ตอบ คาง หรือลักยิ้ม ซึ่งไม่เหมาะกับบริเวณที่ต้องการความละเอียดอ่อน อย่างใต้ตา เพราะไขมันจะจับตัวเป็นก้อน ทำให้ดูไม่ธรรมชาติ
ความเจ็บระหว่าง ฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์
การฉีดไขมันต้องผ่านขั้นตอนการดูดไขมันออกมาก่อน และฉีดเข้าไปในชั้นลึกจำนวนมาก ทำให้เกิดความเจ็บมากกว่าการฉีดฟิลเลอร์อย่างเห็นได้ชัดค่ะ
ขณะที่ฟิลเลอร์ใช้เพียงเข็มขนาดเล็กในการฉีด ทำให้ความเจ็บน้อยกว่ามาก เพียงใช้ยาชาเฉพาะที่ช่วยระงับความรู้สึก หรือแค่การประคบเย็นก็เพียงพอแล้ว ทำให้การฉีดฟิลเลอร์แทบไม่มีความเจ็บปวดระหว่างทำ และสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที
การพักฟื้นหลังฉีดไขมัน กับ ฉีดฟิลเลอร์
การฉีดไขมัน จะใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานกว่าฉีดฟิลเลอร์ เพราะมีแผลจากการดูดไขมัน และยังต้องรอให้บวมที่เกิดจากการฉีดยุบลงด้วย โดยอาการบวมจะอยู่นาน 1-2 สัปดาห์หลังการฉีด ทำให้ต้องลางานหรือหยุดกิจกรรมต่าง ๆ ไปพักใหญ่
ในทางตรงกันข้าม การฉีดฟิลเลอร์แทบจะไม่ต้องพักฟื้นเลย เพราะเป็นเพียงการฉีดด้วยเข็มเล็ก ๆ ที่ไม่ทำให้เกิดแผลใหญ่ และสามารถเห็นผลได้ทันทีหลังการฉีด หรืออาจมีอาการบวมเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหายได้เองใน 1-2 วัน ทำให้กลับไปใช้ชีวิตและทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาพักฟื้นนาน
ราคาโปรแกรมฉีดไขมัน กับ โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์ แบบไหนคุ้มกว่า
หากดูที่ราคาฉีดต่อครั้ง การฉีดไขมันจะมีราคาที่ถูกกว่าการฉีดฟิลเลอร์ค่ะ เพราะไขมันนำมาจากร่างกายตัวเอง ไม่ต้องเสียค่าวัสดุสำหรับการฉีด แต่ก็ต้องคิดถึงค่าใช้จ่ายของการผ่าตัดดูดไขมันที่ราคาสูงกว่าฉีดธรรมดามาก
แต่หากนึกถึงความคุ้มค่าระยะยาว การฉีดไขมันจะให้ความคุ้มค่าที่มากกว่าฉีดฟิลเลอร์หลายเท่า เพราะผลลัพธ์ที่ได้สามารถคงอยู่ได้นานหลายปี ขณะที่ฟิลเลอร์จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเติมซ้ำทุก 6 เดือน ถึง 1 ปี เพื่อคงผลลัพธ์เอาไว้ ทำให้ค่าใช้จ่ายสะสมในระยะยาวสูงกว่าการฉีดไขมันพอสมควร
สรุป
สรุปแล้ว ฉีดไขมันกับฉีดฟิลเลอร์ ต่างก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการปรับรูปหน้า เติมเต็มริ้วรอย และคืนความอ่อนวัยให้แก่ใบหน้า ซึ่งมีข้อดี/ข้อเสีย ความเสี่ยง และข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
การฉีดไขมัน เหมาะสำหรับการเติมเต็มในปริมาณมาก ๆ และต้องการผลลัพธ์ที่คงทนถาวร ให้ความเป็นธรรมชาติสูง แต่แลกมาด้วยระยะเวลาพักฟื้นที่นานกว่า และความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ขณะที่ การฉีดฟิลเลอร์ เหมาะสำหรับแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด ต้องการผลลัพธ์ทันใจ ไม่เจ็บ ไม่ต้องพักฟื้นนาน และสามารถฉีดสลายแก้ไขได้ แต่ผลลัพธ์จะไม่คงทนเท่าการฉีดไขมัน ต้องเติมบ่อยและเสียค่าใช้จ่ายสะสมที่มากกว่าระยะยาว รวมถึงความเสี่ยงจากฟิลเลอร์ปลอมที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ซึ่งไม่ว่าจะเลือก ฉีดไขมัน หรือ ฉีดฟิลเลอร์ สิ่งสำคัญคือต้องหาข้อมูล เข้าใจข้อดี/ข้อเสีย ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และใช้วัสดุแท้ เพื่อให้การทำหัตถการเสริมความงามทุกครั้งเป็นไปอย่างปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ที่ดูดี และไม่เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ตามมา